วิธีรักษาทางเลือกใหม่สำหรับ "ผู้ป่วยโรคมะเร็ง"
ในปัจจุบันหลายท่านอาจจะคิดว่าโรคมะเร็ง เป็นโรคที่น่ากลัวและมีอันตรายจนถึงชีวิต ซึ่งความคิดเหล่านี้อาจไม่ถูกต้องไปทั้งหมด
เนื่องจากในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าและศาสตร์การแพทย์แขนงอื่น ๆ ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในการรักษามากขึ้น
ทำให้เรามีวิธีการในการรักษาและจัดการกับโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซึ่งวิธีการ “รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง” ด้วยการให้คีโม (Chemotherapy) หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า “เคมีบำบัด” เพื่อฆ่าเซลล์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งการให้คีโมจริงๆ แล้วก็เพื่อการฆ่าเซลล์มะเร็ง แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบไปถึงเซลล์ปกติในร่างกายด้วย จึงทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงค่อนข้างมาก
ัวันนี้เราจึงอยากนำเสนอวิธีการรักษาทางเลือกของผู้ป่วยมะเร็ง ที่มีการเน้นการรักษาที่ตรงจุดซึ่งเรียกว่า “การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า”
นั่นคือ การรักษามะเร็งที่กำหนดเป้าหมายการรักษาตรงไปที่เซลล์มะเร็ง เพื่อหยุดหรือชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเท่านั้น
โดยส่งผลต่อเซลล์ปกติเพียงเล็กน้อย ทำให้ผู้ป่วยค่อยๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการรักษา

Mistletoe Therapy เคมีบำบัดจากธรรมชาติ
Mistletoe หรือ Viscum Album เป็นพืชกาฝากที่ยึดติดกับต้นไม้ เช่น ต้นแอปเปิ้ล ต้นโอ๊ค ต้นเมเปิ้ล ต้นเอล์ม ต้นสน และต้นเบิร์ช
มีถิ่นกำเนิดในยุโรปและเอเชียตะวันตก โดยมีการใช้ทางการแพทย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ สารสกัดจากพืชชนิดนี้มีการใช้งานอย่าง
กว้างขวางในด้านการรักษาเนื้องอกและมะเร็ง ซึ่งมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งอย่างดี
มีผลการศึกษาและงานวิจัยของ Mistletoe พบว่าสารสกัดจากมิสเซิลโทมีส่วนช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็งได้
อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปได้มีการใช้มิสเซิลโทช่วยในการรักษาโรคมะเร็งมาเป็นเวลานานกว่า 100 ปี มีการวิจัย
และเป็นที่ยอมรับในการนำไปรักษาร่วมกับการรักษาหลักในผู้ป่วยมะเร็ง เช่น การฉายแสง และให้เคมีบำบัด โดยพบว่าการใช้สารสกัด
จากมิสเซิลโทนั้น มีความปลอดภัย ช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาได้เป็นอย่างดี และไม่ลดประสิทธิภาพ
หรือต่อต้านการรักษาหลักทั้งยังเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกาย ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นได้
✚ ช่วยให้ NK Therapy เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็ง สามารถทำงานได้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
✚ ช่วยลดการกระจายตัวของมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก (โดยเฉพาะในระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด)
✚ ช่วยลดอาการจากผลข้างเคียงของเคมีบำบัด เช่นอาการคลื่นไส้ อาเจียน ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว
✚ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน จากภูมิคุ้มกันตก
✚ ช่วยให้นาฬิกาชีวิตของผู้ป่วยทำงานได้สมดุลไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนอน การทานอาหาร การย่อย อุณหภูมิของร่างกาย
✚ ปรับอารมณ์ให้ไปในทางบวก ลดภาวะซึมเศร้า หรือเครียดจนเกินไป
✚ ช่วยให้อาการปวดจากก้อนมะเร็งควบคุมได้ง่ายขึ้น
ซึ่งในปัจจุบันการรักษามะเร็งด้วยสารสกัดมิสเซิลโทถือเป็น การรักษาทางร่วมและทางเลือก
(Complementary and Alternative Treatment) ที่มีการใช้อย่างกว้างขวางมากที่สุดแนวทางหนึ่ง ในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง


เป้าหมายในการใช้ Mistletoe Therapy รักษาโรคมะเร็ง
Mistletoe นับเป็นเพียงหนึ่งองค์ประกอบหลักของการรักษา
โรคแบบองค์รวม โดยมักใช้ร่วมกับการรักษาร่วมกับวิธีอื่น
เช่น การปรับสมดุลภาวะโภชนาการ การใช้สารละลายเจือจาง
จากแร่ธาตุ หรือสารสกัดจากพืชสมุนไพร เนื่องจากมิสเซิลโท
มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง รวมทั้งสามารถกระตุ้น
ระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น โดยพบว่าสาร Lectin ที่อยู่ใน
มิสเซิลโท นั้นได้ช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวที่ชื่อแมคโครฟาจ
และเดนไดรติค ทำงานได้ดีขึ้นในการทำลายมะเร็ง
Mistletoe Therapy องค์ประกอบการรักษาโรคมะเร็ง
การรักษาด้วยสารสกัดมิสเซิลโท มักใช้วิธีการฉีดสารสกัดเข้าไปใต้ผิวหนัง วันละครั้ง ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งขนาดยาและระยะเวลาการรักษา จะขึ้นกับชนิดของโรค ชนิดและระยะของโรคมะเร็ง และการตอบสนองของผู้ป่วย โดยมีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า มิสเซิลโทอาจมีส่วนช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตจากมะเร็งได้แล้ว ยังมีการใช้มิสเซิลโทประกอบในการรักษาโรคเรื้อรังอื่นอีกมากมาย เช่น ใช้ในระหว่างการพักฟื้นหลังจากโรคติดเชื้อร้ายแรง เสริมการรักษาการติดเชื้อ HIV ภาวะตับอักเสบ รักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ ใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูง รักษาโรคลมชัก โรครูมาตอยด์ และโรคข้อเสื่อมตามวัยได้อีกด้วย

คำถามเกี่ยวกับ Mistletoe Therapy ที่พบบ่อย
Mistletoe Therapy สามารถรักษามะเร็งชนิดใดได้บ้าง?
มีหลักฐานการใช้ Mistletoe รักษามะเร็งอยู่หลายชนิด อยู่ทุกระยะ และใช้ในการป้องกันการเกิดมะเร็งซ้ำ
Mistletoe Therapy มีผลข้างเคียงหรือไม่?
Mistletoe สามารถใช้ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณช่องท้อง โดยทั่วไปจะทำให้เกิดการอักเสบเฉพาะจุดแต่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งอาจมีอาการบวม แดง เจ็บหรือคัน
อาจทำให้เกิดไข้สูงและอ่อนเพลีย โดยรวมแล้วอาการ
จะหายภายในเวลาไม่นาน
ใครที่ไม่เหมาะใช้ Mistletoe Therapy ในการรักษา
การบำบัดนี้ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่แพ้ Mistletoe หรือผู้ที่มีโรคอักเสบเฉียบพลัน โรคภูมิคุ้มกันต้านตนเอง มีไข้สูง ตั้งครรภ์ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia gravis) โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินที่ควบคุมไม่ได้
สามารถใช้ Mistletoe Therapy ในการรักษามะเร็ง
ร่วมกับวิธีอื่นๆ เช่น การฉายรังสีหรือเคมีบำบัด
ได้หรือไม่?
Mistletoe สามารถช่วยบรรเทาผลข้างเคียงบางอย่างจากการฉายรังสีและเคมีบำบัดได้จริง เช่น
ความเหนื่อยล้า คลื่นไส้ และนอนหลับยาก

NK Therapy เซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติ
NK Therapy หรือ NK Cell คือเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง (Cytotoxic lymphocyte) ที่สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติในร่างกาย มีหน้าที่ในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและตอบสนองต่อการก่อตัวของก้อนมะเร็ง NK cell มีความสามารถพิเศษในการทำลายเซลล์แปลกปลอม ที่แตกต่างจากเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นในร่างกาย โดยมันมีความสามารถในการรับรู้และฆ่าเซลล์ที่ผิดปกติได้โดยไม่ต้อง
รอการกระตุ้นโดยแอนติบอดี้และสารบนผิวเซลล์ (MHC: histocompatibility complex) เหมือนเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันเร็วขึ้น ทำให้มันได้รับการขนานนามว่า “นักฆ่าตามธรรมชาติ” อย่างไรก็ตามในภาวะปกติ เม็ดเลือดขาว NK Cell
พบได้ค่อนข้างน้อยในกระแสเลือด โดยพบเพียง 15% ของจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ทั้งหมด อีกทั้งการศึกษา
พบว่าจำนวนของเม็ดเลือดขาว NK Cell จะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับอุบัติการณ์ของมะเร็งที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุ
NK Theraphy ทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างไร?
์NK Therapy หรือ NK Cell มีหน้าที่ในการตรวจสอบและทําลายสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นไวรัส แบคทีเรีย
หรือเซลล์มะเร็ง เพราะโดยปกติแล้ว Natural killer จะเข้าไปจัดการทำลายทันที โดยไม่ต้องผ่านการจดจำลักษณะหรือนึกว่าเคยเจอ
สิ่งนั้นมาก่อนหรือไม่ และยังสามารถแยกแยะระหว่างเซลล์ปกติกับเซลล์ที่ผิดปกติได้ จึงทำให้ Natural killer cells มีความสามารถ
ในการทำลายเซลล์มะเร็งได้สูงกว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆ ถึง 100 เท่า
สำหรับ NK Theraphy นอกจากจะทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันเป็นปราการด่านแรกในการฆ่าเซลล์มะเร็ง เมื่อร่างกายหายดีแล้ว
NK ยังทำหน้าที่ในการคอยป้องกันต่อ เพราะว่าจะคอยสอดส่องหาเซลล์แปลกปลอมแล้วก็เข้าทำลายทันที
กระบวนการหรือกลไกการทำงานของ NK Therapy มี 4 แบบ
✚ การหลั่งสารการอักเสบ
✚ การทำลายสิ่งแปลกปลอม หรือว่าเซลล์แปลกปลอมโดยตรง โดยการหลั่งสารอักเสบเข้าไป
✚ การกระตุ้นให้เซลล์แปลกปลอมเกิดการตาย หรือที่เรียกว่า อะพอพโทซิส (apoptosis)
✚ การเข้าไปฆ่าเซลล์แปลกปลอมโดยตรง (ADCC; Antibody-dependent cellular cytotoxicity)

NK Theraphy กับวิธีร่วมการรักษาโรคในปัจจุบัน

กลุ่มโรคมะเร็ง
✚ มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
✚ มะเร็งเนื้อเยื่อระบบประสาท (Neuroblastoma)
✚ มะเร็งรังไข่ (Ovarian Cancer)
✚ มะเร็งเนื้อเต้านม (Breast Cancer (HER-2+ve))
กลุ่มโรคที่ไม่ใช่มะเร็ง
✚ ติดเชื้อไวรัส (Viral Infectioon)
✚ เบาหวานชนิดที่ 1 (Type l Diabetes)
ในทางการแพทย์พบว่า การลดลงของจำนวน Natural killer cells (NK Theraphy) ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง
ซึ่งเรียกว่าNK Activity ที่มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด ทั้งมะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งบริเวณศรีษะและลำคอ
มะเร็งเต้านม เป็นต้นผู้ป่วยที่มีความบกพร่องใน Natural killer หรือ จำนวน Natural killer ในเลือดต่ำ มีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้
เกิดมะเร็ง เนื่องจาก Natural killer เป็นด่านแรก ในการตรวจจับ และฆ่าเซลล์มะเร็งก่อนที่เซลล์มะเร็งจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนกระทั่ง
ควบคุมไม่ได้ในที่สุด
จากการศึกษาพบว่าจำนวนของเม็ดเลือดขาว Natural killer จะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับอุบัติการณ์ของมะเร็งที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุ
คำถามเกี่ยวกับ NK Therapy ที่พบบ่อย
NK Therapy เหมาะกับใครบ้าง
-
คนที่มีการติดเชื้อบ่อยครั้ง
-
คนที่ต้องสัมผัสกับฮอร์โมนหรือมลพิษจาก
สิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลายาวนาน -
คนที่มีสภาวะอ่อนล้าเรื้อรัง
-
คนที่มีประวัติการสูบบุหรี่อย่างหนัก
-
คนที่มีบุคคลในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคมะเร็ง
วิธีเพิ่ม NK Therapy ให้กับร่างกายได้อย่างไร
-
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
เช่น ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ และนมถั่วเหลือง
-
เลิกสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
-
พักผ่อนให้เพียงพอ และ คลายเครียด
-
การดริปเข้าสู่เส้นเลือดให้ร่างกายโดยตรง
NK Therapy มีผลข้างเคียงหรือไม่?
หลังจากฉีด NK Cell กลับเข้าร่างกายแล้ว อาจมี
อาการไข้ต่ำๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว หรือปวดเมื่อยตามร่างกายได้บ้างคล้ายกับอาการหลังจากฉีดวัคซีนทั่วไป แต่ผ่านไปไม่เกิน 1-2 วัน อาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้นเอง
NK Cell ไปแล้ว จะคงอยู่ตลอดไปหรือไม่?
มีโอกาสที่ NK Cell จะลดลงได้อีก หากไม่ได้รับการ
ดูแลตนเองไม่เหมาะสมและทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม
ลงจนภูมิคุ้มกันกลับมาอ่อนแออีกครั้ง